resident evil 3 หวนคืนสู่ฝันร้ายเมืองผีดิบ ภาคจบของไตรภาคแรกแห่งตำนานผีชีวะเวอร์ชั่นคลาสสิก

สารบัญ

หมายเหตุ: ทีมงานใช้ตัวเกมเวอร์ชั่น PlayStation 4 ในการรีวิว

resident evil 3 ตามมากันติดๆ ทีเดียวครับสำหรับ Resident Evil 3 ที่เป็นเหมือนเครื่องหมายของการสานต่อความสำเร็จจากเกมภาค 2 เมื่อช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งคราวนี้เราจะได้รับบทเป็นตัวเอกสาวอย่าง Jill Valentine หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ไวรัสระบาดที่คฤหาสน์ Spencer Mansion ของเกมภาคแรกที่ยังคงติดในเมือง Raccoon City อยู่ เพียงแต่ว่าไวรัสเหล่านั้นดันแพร่กระจายมาถึงตัวเมืองจนเกิดความปั่นป่วนแบบที่เธอไม่อาจจินตนาการได้

ในเบื้องต้น Resident Evil 3 ยังคงใช้เอนจิ้น RE Engine ภาพสวยกิ๊งในการพัฒนาเช่นเดียวกับ Resident Evil 2 และ Resident Evil 7 อีกทั้งใช้แนวทางการเล่นแบบเดิมๆ ทั้งการควบคุม เมนูจัดการไอเทม หรือกันเพลย์การยิงปืนแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ใหม่กันนาน ดังนั้นใครที่เคยสนุกกับ Resident Evil 2 มาอยู่แล้วก็สามารถหยิบเกมภาคนี้มาเล่นกันได้สบายๆ

【ชั่วโมงแห่งความสิ้นหวังของชาวเมือง】

ในช่วงแรก เกมจะพาเราเข้าสู่เมือง Raccoon City ที่ยังคงอยู่ในระยะแรกเริ่มของเหตุการณ์การระบาดเชื้อ T-Virus เราจึงได้เห็นเมืองที่ยังมีแสงสี รวมไปถึงประชาชนบางส่วนพากันหนีตายจ้าละหวั่น ซึ่งเกมถ่ายทอดอารมณ์มาได้ดีจนเราไม่อยากคิดที่จะเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้นเลย ความน่าสนใจอีกจุดหนึ่งก็คือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงปี 90 ทำให้เราสามารถเห็นบรรยากาศบ้านเมืองสมัยนั้นได้ชัดเจนทั้งรถยนต์ หรือสถาปัตยกรรมต่างๆ

【ถึงเกมเพลย์จะเก่า แต่ก็เก๋าด้วยเทคนิคใหม่ๆ】

อย่างที่ได้แจ้งเอาไว้ข้างต้นว่า Resident Evil 3 ใช้เอนจิ้นเดิมกับเกมภาคที่แล้วในการพัฒนา ดังนั้นทุกอย่างก็อาจจะดู ‘ย้อมแมว’ กันไปสักนิดไม่ว่าจะเป็นอนิเมชั่นตัวละคร การซูมกล้องเวลาโดนกัด หรือไอเทม ฉาก ที่ยกของเดิมมาใช้กันทั้งดุ้น (ติ๊ต่างว่าอยู่ในเมืองเดียวกันก็ต้องใช้ของเหมือนกัน) แต่ในภาคนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้สัมผัสรสชาติเกมแอคชั่นมากขึ้น เริ่มต้นกันที่ปุ่มหลบที่เราสามารถกะจังหวะเพื่อสโลว์เวลาได้ และการรัวปุ่มเพื่อหนีจากซอมบี้เป็นต้น อ้อ! เกือบลืมไปว่าความเร็วของตัวละครก็ว่องไวมากขึ้นด้วย

【ลิ้มรสชาติการหนีตายที่เต็มไปด้วยความมันส์】

ไฮไลต์เด็ดของเกมนี้ไม่ใช่แค่เพียง Jill Valentine ที่กลับมาแค่นั้น เพราะตัวเกมยังมีมนุษย์กลายพันธุ์ Nemesis ที่อัปเกรดความดุเดือดจาก Mr. X ที่เดินไล่ตามธรรมดามาเป็นการวิ่งไล่จับและหมัดโจมตีที่ทรงพลัง นอกจากนั้นแล้วยังมีอาวุธเป็นสายเทนทาเคิลที่ลากเราไปมา หรืออาจจะวิ่งโผล่มาข้างหน้าแบบไม่ให้ตั้งตัว ส่วนปริมาณของซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์อื่นๆ ก็มีเพียบ ทั้งนี้ตัวเกมก็มีพื้นที่เปิดให้เราเดินสำรวจ หรือหากระสุนสำหรับตอบโต้กันสะใจ

บางช่วงเกมจะมีการเปลี่ยนเนื้อเรื่องเข้าสู่มุมมองของ Carlos หนึ่งในทหารของ Umbrella ที่ถูกส่งมาช่วยเหลืออพยพชาวเมืองเช่นกัน โดยเขาก็จะมีชุดอาวุธและกล่องเก็บของแยกของตัวเองด้วย และแฟนๆ ฝั่งแอคชั่นก็น่าจะชื่นชอบเข้าไปใหญ่เนื่องจาก Carlos ใช้อาวุธปืนกลพร้อมกระสุนที่มีให้แบบไม่ต้องกลัวเปลือง ช่วยปรับอารมณ์จากแนวแอคชั่น-สยองขวัญในเนื้อเรื่องฝั่ง Jill มาให้เราผ่อนคลายกับการสาดกระสุนประหนึ่งแรมโบ้ ทั้งนี้โดยรวมแล้วเกมให้สัดส่วนการบู๊ล้างผลาญไป 80% แอบเสียอารมณ์สยองขวัญไปนิดๆ

ซูเปอร์วาเลนไทน์ไม่ใช่ฉายาที่ตั้งขึ้นมาเล่นๆ Carlos มีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

เนื้อเรื่อง resident evil 3

resident evil 3 ความแตกต่างจาก Resident Evil 2 เวอร์ชั่นรีเมคก็คือเกมภาคนี้ปรับเนื้อเรื่องไปจนเราจำไม่ได้ แต่แน่นอนว่าจุดสำคัญหลักๆ ของเรื่องเช่น Jill ได้รับบาดเจ็บจนต้องนอนพัก (คงไม่ถือเป็นสปอยล์แล้ว) หรือการทรยศของ Nicolai ก็ยังเก็บเอาไว้ครบถ้วน ซึ่งแฟนๆ น่าจะรู้สึกชอบมากกว่าชังเพราะเราไม่สามารถเดาเหตุการณ์อะไรได้ ชนิดที่รับประกันว่าต่อให้เคยเล่นภาคต้นฉบับแล้วก็ยังเหวอ ที่สำคัญเกมเดินเรื่องเร็วมากโดยเฉพาะช่วงแรกที่ไม่มีให้เราพักเหนื่อยกันเลย

ถัดมากันที่พัฒนาการของตัวละคร เราจะเห็นได้ว่า Jill Valentine ฮีโร่สาวแกร่งของเรายังเป็นสาวถึกบึกบึน (ซูเปอร์วาเลนไทน์ที่แท้จริง) เหมือนเคย เพิ่มเติมด้วยดีกรีความเผ็ดของฝีปากและอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาแบบ ‘เพื่อนสาวที่เราไว้ใจได้’ ทำให้เราหลงรักกันง่ายๆ กลับกัน Carlos Oliviera ก็ให้อารมณ์ผู้ชายบราซิลอารมณ์ดีพร้อมมุกชวนให้เราแค่นหัวเราะอยู่บ่อยๆ

กระนั้นแล้วเกมก็ยังไม่อยู่ในสถานะสมบูรณ์แบบ

น่าเสียดายที่ CAPCOM อาจจะโฟกัสไปที่การทำตัวเกมให้ใหม่จนเกินไปจนทำให้เสน่ห์เดิมๆ ถูกบดบังไปด้วยฟีเจอร์เหล่านั้น เริ่มต้นที่ Nemesis ที่ถึงแม้มันจะดุดันและติดตามเรายิ่งกว่า Mr. X แต่กลับกลายเป็นการปรากฏตัวของมันดันเป็นสคริปต์ล้วนๆ นั่นหมายความว่าเราจะเจอกับมันแค่ช่วงที่เกมกำหนดหรือฉากสู้บอสเท่านั้น ฟิสิกส์ในเกมเองก็ดันโดนดาวน์เกรดเพื่อรองรับปริมาณซอมบี้ในฉากทำให้เราไม่สามารถเชือดพวกมันได้สะใจเหมือนเกมที่แล้ว และยังพบปัญหาเฟรมตกของซอมบี้ที่อยู่ไกลๆ (คาดว่าเป็นการประหยัดทรัพยากรไม่ให้วัตถุตรงหน้าเราถูกดึงเฟรมเรต)

ขณะเดียวกันเนื้อเรื่องภายในเกมก็ยังสั้นเหมือนเดิม แถมยังลดความคุ้มค่าอย่างโหมดการเล่นเสริม ชุดตัวละครพิเศษและของสะสมอื่นๆ ไปเสียเยอะ แต่มาเพิ่มที่อาวุธสำหรับปลดล็อคแทน ซึ่งพอเข้าใจได้อยู่ว่า Resident Evil: Resistance ได้รับมอบหมายเป็นตัวตายตัวแทนของ The Mercenaries โหมดเก็บคะแนนที่ทุกคนชื่นชอบ ทว่ามันกลับไม่ให้ความสนุกเหมือนกับโหมดเก่าเสียอย่างนั้น และถ้าเป็นไปได้มั่นใจว่าแฟนๆ คงอยากจะให้นำเวลาพัฒนาเกมนี้ไปลงกับเนื้อหาส่วนนี้มากกว่า

อย่างน้อยความน่ารักของ Jill ก็ช่วยเป็นน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจเรา

บทส่งท้าย

Resident Evil 3 เป็นเกม ‘ผีชีวะ’ ที่ดี แต่ถ้าให้เทียบกันแล้วก็ยังไม่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้เหมือนกับการกลับมาของ Resident Evil 2 หากเพื่อนๆ คาดหวังว่าตัวเกมจะมีเนื้อหาที่ขยายความจากเกมเดิมคงต้องแอบน้อยใจกันไปบ้างเพราะถึงแม้เกมจะเปลี่ยนเส้นเนื้อเรื่องใหม่ฉันใด ฉันนั้นในด้านของปริมาณถือว่าไม่ได้เพิ่มเข้ามามากมายนัก แต่ถ้าเป็นแฟนผีชีวะที่อยากกลับมาผจญภัยกับ Jill Valentine ในเมืองสวรรค์สาปแห่งนี้ พวกเราการันตีได้ว่าจะต้องอิ่มเอมใจกันอย่างแน่นวล!

สุดท้ายนี้ ThisIsGame Thailand ขอขอบคุณทาง CAPCOM Asia ที่สำหรับการสนับสนุนตัวเกมเพื่อการรีวิวในครั้งนี้ด้วย และถ้าหากใครที่สนใจก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า Resident Evil 3 วางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วทั้งบน PlayStation 4, Xbox ONE และ PC ผ่านร้านค้า Steam โดยจะมาพร้อมกับ Resident Evil: Resistance เกมออนไลน์แนวเอาตัวรอดรูปแบบ 4v1 เช่นกัน resident evil 3

บทความที่น่าสนใจ